วันอังคารที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2556

สโตนเฮนจ์เมืองไทยหรือ มอหินขาว จังหวัดชัยภูมิ


  



 มอหินขาว บ้านวังคำแคน ต.ท่าหินโงม อ.เมือง จ.ชัยภูมิ ตั้งอยู่ในเขต อุทยานแห่งชาติภูแลนคา มีทุ่งหินประหลาดขนาดยักษ์ท่ามกลางท้องทุ่งมากมายหลายก้อนตั้งโดดเด่นอยู่ หลายๆคนยกให้ทุ่งหินยักษ์นี้เป็น“สโตนเฮนจ์เมืองไทย” ในขณะที่ชาวบ้านแถวนั้นเรียกขานทุ่งหินขนาดยักษ์ว่า “มอหินขาว”
มอหินขาวถูกแบ่งเป็นกลุ่มหินขนาดใหญ่จำนวน 3 กลุ่ม กลุ่มหินที่ 1 มีไฮไลท์อยู่ที่เสาหินขนาดยักษ์ 5 ต้น ที่มีความสูงจากผิวดินประมาณ 12 เมตร โดยเสาแต่ละต้นมีขนาดใหญ่รูปร่างแตกต่างกันออกไป เสาต้นที่ใหญ่ที่สุดมีขนาดถึง 22 คนโอบ ในขณะที่เสาหินบางต้นมีชาวบ้านนำพระพุทธรูปไปประดิษฐานไว้ที่ด้านล่างเพื่อให้ผู้ที่ผ่านไปผ่านมาสักการบูชา โดยจะมีหินทรายก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งเป็นสีขาวและโดดเด่นในพื้นที่ และเป็นที่มาของคำว่า มอหินขาว บ้างก็เชื่อกันว่าก้อนหินใหญ่ 5ก้อนนี้ในทุกคืนวันพระ ขึ้น 15 ค่ำ, 8 ค่ำจะมีแสงสีขาวส่องขึ้นมา คนเฒ่าคนแก่สมัยนั้นเลยเรียกที่นี่ว่ามอหินขาว กลุ่มหินที่ 2อยู่ห่างออกไป 500 เมตร แท่นหินจะมีรูปร่างแปลกแตกต่างกันออกไป มีแท่นหินที่มีรูปร่างคล้ายเรือ เจดีย์ หอเอียงเมืองปิซ่า และคล้ายกระดองเต่า และเมื่อห่างออกไปอีกประมาณ 1,500 เมตร จะเป็นกลุ่มหินที่ 3 มีลักษณะเป็นลานหินขนาดใหญ่ ที่บางคนเรียกว่า “ผากล้วยไม้” เพราะลานหินแห่งนี้เป็นหน้าผาที่เต็มไปด้วยกล้วยไม้และดอกไม้ป่าขึ้นอยู่มากมาย อาทิ เอื้องหมายนา เอื้องม้าวิ่ง กระดุมเงิน โดยในช่วงปลายฝนต้นหนาวระหว่างเดือนก.ย.-ต.ค. กล้วยไม้ที่นี่จะออกดอกบานสะพรั่งให้สีสันสดใส
 ลานหิน เสาหินและแท่งหินที่มอหินขาวส่วนใหญ่เป็นหินทรายสีขาว นอกจากนี้ก็ยังมี หินทรายแป้ง หินโคลน หินทรายสีม่วง ซึ่งสันนิษฐานว่าก้อนหินขนาดยักษ์เหล่านี้มีอายุประมาณ 175-195 ล้านปี เกิดจากการเคลื่อนไหวของเปลือกโลกที่ทำให้ชั้นหินเกิดการโค้งงอและแตกหักเมื่อผสมกับการกัดเซาะของน้ำฝนและการไหลของน้ำตามผิวดิน ลานหินที่นี่จึงค่อยเปลี่ยนลักษณะเป็นเสาหินและแท่งหินอย่างที่เห็นในปัจจุบัน พื้นที่มอหินขาวในปัจจุบันทางจังหวัดชัยภูมิยังไม่ได้เปิดพื้นที่มอหินขาวให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวอย่างเป็นทางการ เพราะว่ายังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องปรับปรุง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการปรับปรุงทางขึ้น การจัดภูมิทัศน์ การฝึกอบรมไกด์ท้องถิ่น การทำป้ายสื่อความหมาย การทำเส้นทางท่องเที่ยว และการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกให้พร้อมมากขึ้น แต่มอหินขาวสามารถขับรถขึ้นไปเที่ยวและพักค้างแรมได้ เพราะลานกว้างไว้ให้กางเต็นท์พร้อมมีห้องน้ำอำนวยความสะดวก ซึ่งผู้สนใจควรสอบถามรายละเอียดก่อนออกเดินทางที่ อุทยานแห่งชาติภูแลนคา 0-4481-0902-3
บอกได้คำเดียวว่าถ้าคุณได้เข้ามาสัมผัสมนต์เสน่ห์แห่งป่าเขาที่นี่แล้วจะชวนคุณหลงใหลมิรู้ลืม “มอหินขาว” และแห่งนี้เคยได้รับการคัดเลือกให้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ของท่านมุ้ย เรื่องพระนเรศวรมหาราชมาแล้ว


อีกหนึ่งสถานที่น่าเที่ยว ใน ชัยภูมิ

           อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าเที่ยวที่สุดที่เต็มไปด้วยไอหมอกของธรรมชาติและดอกกระเจียวแสนสวยงามนั่นคือทุกดอกกระเจียวจังหวัดชัยภูมิ  กระเจียวเป็นพืชล้มลุกประเภทหัว เป็นพันธุ์ไม้ประจำถิ่นที่ขึ้นมากที่สุดในประเทศไทย ณ ที่แห่งนี้ ปกติจะพบขึ้นกระจายทั่วไป ตั้งแต่ลานหินงามจนถึงจุดชมวิวสุดแผ่นดิน 1 กิโลเมตร ดอกกระเจียวจะขึ้นและบานเป็นสีชมพูอมม่วงในช่วงต้นฤดูฝนเท่านั้น คือเดือนมิถุนายน-สิงหาคมของทุกปี
        ดอกกระเจียว กระเจียวบัว ปทุมมาหรือบัวสวรรค์ เป็นชื่อที่ชาวบ้านเรียกกันติดปาก เป็นพันธุ์ไม้ประจำถิ่น ที่ขึ้นมากที่สุดในประเทศไทยที่อุทยานฯแห่งนี้ ปกติจะขึ้นปะปนกับหญ้าเพ็ก ซึ่งเป็นไม้พื้นล่างของป่าเต็งรัง หรือป่าโคกที่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นห่าง ๆ สลับกับหิน ส่วนใหญ่จะมีไม้เหียงเป็นไม้เด่นกระจายอยู่ทั่วไป ตั้งแต่ลานหินงามจนถึงจุดชมวิว"สุดแผ่นดิน" ระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร นอกจากนี้ยังพบกระเจียวชนิดนี้ที่ อุทยานแห่งชาติไทรทอง อำเภอหนองบัวระเหว จังหวัดชัยภูมิ ซึ่งอยู่ในแนวสันเขาพังเหยเดียวกัน 
ไอหมองในยามเช้า  ของทุ่งดอกกระเจียว

                                               














วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556

สถานที่ท่องเที่ยว ในอยุธยา วัดพนัญเชิง

      วัดพนัญเชิง เป็นวัดที่มีประวัติอันยาวนาน ก่อสร้างก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยา และไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่ชัดว่าใครเป็นผู้สร้าง ตามหนังสือพงศาวดารเหนือกล่าวว่า พระเจ้าสายน้ำผึ้งเป็นผู้สร้าง และพระราชทานนามว่า วัดเจ้าพระนางเชิง และพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์กล่าวไว้ว่า ได้สถาปนาพระพุทธรูปพุทธเจ้าพแนงเชิง เมื่อปี พ.ศ. 1867 ซึ่งก่อนพระเจ้าอู่ทองจะสถาปนากรุงศรีอยุธยาถึง 26 ปี
พระพุทธไตรรัตนนายก หรือหลวงพ่อซำปอกง เป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่ และใหญ่ที่สุดในพระนครศรีอยุธยา หน้าตักกว้าง 20 เมตรเศษ สูง 19 เมตร เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัย เคยได้รับความเสียหายในสมัยเสียกรุง แต่ก็ได้รับการบูรณะซ่อมแซมมาโดยตลอด จนกระทั่งในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อ พ.ศ. 2497 ได้โปรดเกล้าให้บูรณะใหม่หมดทั้งองค์ และพระราชทานนามใหม่ว่า พระพุทธไตรรัตนนายก หรือที่รู้จักกันในหมู่พุทธศาสนิกชนชาวไทยเชื้อสายจีนว่า หลวงพ่อซำปอกง คำว่า พแนงเชิง มีความหมายว่า นั่งขัดสมาธิ ฉะนั้น คำว่า วัดพนัญเชิง / วัดพระแนงเชิง หรือ / วัดพระเจ้าพแนงเชิง จึงหมายถึงวัดแห่งพระพุทธรูปนั่งปางมารวิชัยคือ หลวงพ่อโต หรือ พระพุทธไตรรัตนนายก นั้นเอง หรืออาจสืบเนื่องมาจากตำนานเรื่องพระนางสร้อยดอกหมาก คือ เมื่อพระนางสร้อยดอกหมากกลั้นใจตายนั้น พระนางคงนั่งขัดสมาธิ เพราะชาวจีนนิยมนั่งขัดสมาธิมากว่านั่งพับเพียบจึงนำมาใช้เรียกชื่อวัด บางคนก็เรียกว่า วัดพระนางเอาเชิง ตามสาเหตุที่ทำให้พระนางถึงแก่ชีวิต ฉะนั้น ถ้าเรียกนามวัดตามความหมายของคำว่า วัดพนัญเชิง ก็ย่อมหมายความถึงวัดที่มีพระพุทธรูปนั่งขัดสมาธิ คือหลวงพ่อโต ( อ้างอิงจากประวัติวัดพนัญเชิงข้อมูลของทางวัดในปัจจุบัน )